ลงเรือ
เรื่องราวของเด็กสาว 2 คน ผู้อยู่ต่างยุคสมัย ซึ่งต้องการพิสูจน์ตนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ดำเนินเรื่องผ่านสิ่งที่ทั้งคู่จะต้องพิสูจน์ตนเองร่วมกัน นั่นคือ การทำอาหาร
ผู้เข้าชมรวม
324
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
น้ำพริกลงเรือ วังสวนสุนันทา สวนสุนันทา อาหารไทย เรื่องสั้น ดราม่า แฟนตาซี ผจญภัย ย้อนยุค รัชกาลที่5 การเดินทาง การแข่งขัน ประวัติศาสตร์
ธีม
เรื่องราวชีวิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีคนในวัง ประวัติความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัชกาลที่ 5 โดยเล่าถึงที่มาของ “น้ำพริกลงเรือ” เป็นเส้นเรื่องหลัก เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวังสวนสุนันทา ครั้งเมื่อพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา เป็นอัครมเหสีองค์ที่ 8 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีประเด็นพูดถึงชีวิตมิตรภาพ ความรัก เพื่อน คนรัก การแข่งขัน อาหาร การพิสูจน์ความจริง และการเป็นที่ยอมรับในสังคม
โดยเนื้อเรื่องนั้นเล่าตัดสลับกันกับเรื่องราวในยุคปัจจุบันที่กล่าวถึงชีวิตเด็กของเด็กวัยรุ่นสาวคนหนึ่ง ซึ่ง Theme ไม่ต่างจากหญิงสาวในอีกยุค ไม่ว่าจะความเป็นอยู่และหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเธอเองมีส่วนคล้ายกับหญิงสาวในยุค ร.5 อย่างบังเอิญ โดยแกนหลักพูดถึงคนตัวเล็ก ๆ ที่ชีวิตดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่น่าจะได้รับการกล่าวถึง ทว่ากลับมีอะไรที่ยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การยกย่องไว้ การสร้างหนังเรื่องนี้จึงทำหน้าที่เป็นตัวบันทึกและเผยแพร่เรื่องราวสำคัญให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ดูธรรมดา แต่หากเมื่อค้นไปลึก ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และพิเศษมาก ผ่านจากเค้าโครงเรื่องจริงแล้วนำมาแต่งเติมเรื่องราวในจินตนาการลงไป บทสรุปทั้ง 2 เรื่องราวจึงเติมเต็ม เชื่อมโยง และเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน ทั้งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกันในทาง ๆ หนึ่ง ถ้าไม่มีฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่สามารถดำเนินเรื่องได้
เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็กสาวที่ชื่อ มะลิ ที่พยายามจะพิสูจน์ตนเองกับครอบครัวและคนรอบข้าง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่แย่อะไร แต่เธอเองก็เป็นคนเก่งและมีความสามารถเช่นกัน เธอออกเดินทางไปแข่งขันทำน้ำพริกชิงเงินรางวัลเพื่อที่จะมาช่วยครอบครัวให้ได้ ในขณะเดียวกันย้อนกลับไปในอดีตสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเด็กสาวอีกคนที่กำลังพิสูจน์ตนเองเช่นเดียวกับมะลิเหมือนกันนั่นคือ มาลัย ผู้มีฝีมือในการทำอาหารเป็นเลิศทว่าเพราะความต่ำศักดิ์และความคิดสร้างสรรค์อาหารของเธอที่ดูจะแปลกจากยุคสมัยที่เธออยู่จนเกินไป ทำให้เธอไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น เธอจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะผู้อื่น และให้ทุกคนได้เห็นว่าเธอนั้นก็เก่งไม่แพ้ใคร แม้จะต่างด้วยกาลเวลาแต่การพิสูจน์ตนของทั้งคู่ก็ดำเนินควบคู่กันไปผ่านสิ่งที่ทั้งคู่จะได้พิสูจน์ตนเองร่วมกันคือ การทำอาหาร
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตัวละคร
1.มะลิ
เด็กสาววัยรุ่น ผิวขาว ผมยาว เรียนอยู่ชั้น ม.6 กำลังเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ชอบไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวจนเพื่อน ๆ หลายคนต่างมองว่าเธอเป็นคนแปลก เธอชอบทำอะไรคนเดียวเพราะมองว่าเธออาจจะไม่ใช่คนเก่งอะไร ด้อยกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นให้มีปัญหา มะลิใฝ่ฝันถึงการเดินทางคนเดียว ออกไปเจอโลกกว้าง ได้ทำอะไร ๆ ด้วยตัวคนเดียว หลุดจากกรอบ เพราะทุกครั้งพ่อแม่จะต้องคอยตามติดตัวเธอเสมอ ไม่ปล่อยให้ได้มีอิสระ โดยที่ไม่มีใครมาบงการชีวิตเมื่อที่เป็นตอนนี้ นั่นคือแม่ของเธอ อีกมุมหนึ่ง มะลิมีสิ่งพิเศษที่คนอื่นไม่มี นั่นคือการทำอาหาร เธอเป็นพวกครูพักลักจำ เพราะแม่เป็นคนที่ทำอาหารเก่งมาก แต่ก็ไม่ไว้วางใจเธอให้ทำอาหาร เพราะเข็ดจากที่มะลิเคยทอดไข่เจียวพลาดจนน้ำมันกระเด็นไปใส่แขนน้องชายที่ยืนอยู่ด้วยกันจนเป็นแผลเป็น ตั้งแต่นั้นมามะลิถึงอยากจะทำอาหารแค่ไหนแต่ก็ฝังใจว่าตนคงทำไม่ได้ กลัวการทำอาหารและแม่เองก็ไม่ให้มะลิทำอาหารอะไรเองเลย เธออยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ที่นอกจากแม่แล้วก็มีพ่อ และน้องชายอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอ ครอบครัวเธอเป็นหนี้ก้อนโตอยู่ เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจภาวะการเมืองในปัจจุบันที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ธุรกิจของพ่อขาดทุนย่อยยับ ที่ทำได้ตอนนี้คือทุกคนต่างต้องประหยัดค่าใช้จ่ายแบบสุด ๆ และช่วยกันคิดหาทางใช้หนี้ให้หมดไป เมื่อเธอได้ทราบข่าวว่ามีการแข่งขันประกวดทำน้ำพริกขึ้นจึง
2.แม่มะลิ (นิด)
หญิงผมสั้น ผิวเข้ม อายุ 40 กว่า หน้าตาดูงามอย่างหญิงไทยแท้ เรียบร้อยตามขนบหญิงไทย เป็นคนที่รักลูกมาก เจ้าระเบียบ ชอบบงการชีวิตลูก อยากให้ลูกเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ และพยายามที่จะอบรมเลี้ยงดูให้ลูกอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตนคิดว่าดีงาม เพื่อปกป้องลูกจากสภาพสังคมปัจจุบันที่มีแต่สิ่งแย่ๆได้ ชอบทำอาหารเพราะสืบเชื้อสายจากย่าทวดผู้เป็นนางสนมในห้องต้นเครื่อง วังสวนสุนันทา มักมีปากเสียงกับมะลิบ่อยครั้ง เพราะความเป็นห่วงลูกจนบางครั้งก็ทำให้มะลิคิดไปเองว่าแม่ไม่รักเธอ
3.พ่อมะลิ (เอก)
อายุ 40 กว่า (แก่กว่านิด 3 ปี) ผอม สูง ผิวขาว เป็นคนไม่ค่อยเข้มงวดเท่าภรรยา มุ่งมั่น จริงจังกับเรื่องงาน ชอบการวัดดวง ทำธุรกิจ ชอบการลงทุนโดยไม่คิดให้รอบคอบ นำผลเสียมาสู่ครอบครัว เป็นคนสบาย ๆ ชอบแก้ต่าง ให้ท้าย และตามใจลูกชายมากกว่ามะลิเพราะมักมองว่ามะลิเป็นคนคิดอะไรแปลกๆ และไม่สนใจพวกงานเสี่ยงดวงหรืองานที่จะมีผลประกอบการดีอย่างลูกชาย
4.น้องชายมะลิ (พล)
เด็กหนุ่มผิวเข้มเรียนอยู่ชั้น ม.3 โรงเรียนรัฐบาลแห่งเดียวกับพี่สาว จากบุคลิกทำให้หลายคนมักเดาผิดคิดว่าเป็นเด็กเรียนแน่ ๆ แต่ผิดถนัด แท้จริงแล้วพลเป็นนักกีฬาโรงเรียน ชอบเล่นฟุตบอล และชอบกีฬาชนิดนี้เป็นชีวิตจิตใจ ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเตะฟุตบอลทีมชาติ เรียนไม่เก่งมาก แต่เป็นผู้ชายเท่ ๆ ทำให้มีสาวติด ถึงจะอยู่โรงเรียนเดียวกันกับมะลิ แต่เพราะชอบถูกล้อเรื่องพี่สาวบ่อยๆว่าเป็นคนแปลก เพื่อไม่ให้โดนรากแหว่าตัวเองก็เป็นคนแปลกเหมือนกับพี่สาวด้วยเลยมักจะทำตัวห่างเหินกับพี่สาว
-----------------------------------------------------------------
๑.มาลัย
มาลัย เด็กสาวอายุ ๑๗ ปี ลูกสาวต้นเครื่องตำหนักของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา (อัครมเหสีองค์ที่ ๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕) ในวังสวนสุนันทา พอมาลัยอายุได้ 9 ขวบ มารดาของมาลัยได้พาไปถวายตัวเป็นข้าหลวงในตำหนัก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ(อายุ ๑๑ ปี)ถวายตัวในตำหนักพระวิมาดาเธอ ผู้มีศักดิ์เป็นน้า
มาลัยและหม่อมราชวงศ์สดับมีวัยที่ค่อนข้างไล่เลี่ยกัน หม่อมราชวงศ์สดับได้รับการอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระญาติ ขณะที่มาลัยได้รับการเลี้ยงดูในฐานะข้าหลวงชาววัง ด้วยความที่มาลัยเป็นเด็กช่างสอดรู้จึงแอบเข้ามาพินิจการปรุงเครื่องคาวหวานของพระวิมาดาเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต ในครั้งนั้นหม่อมราชวงศ์สดับทรงเป็นลูกมือ แต่ฝีมือยังไม่เป็นที่น่าพอใจ มาลัยได้แอบให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ จนพระวิมาดาเธอโปรดรสชาติอาหารฝีมือหม่อมราชวงศ์จอมสดับ ทำให้มาลัยรู้สึกว่าตนเองเก่งมาตลอด ในขณะที่เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับรู้สึกว่าตนนั้นมีความด้อยกว่ามาลัยอยู่เสมอ
มาลัยเป็นคนหัวใหม่ในยุคสมัยนั้น ไม่ชอบยึดติดอยู่กับกรอบประเพณีเดิม มาลัยชอบที่จะคิดค้นอาหารสูตรใหม่มานำเสนอเหล่าข้าหลวงในวังเสมอ มีทั้งที่ถูกปากและไม่ถูกปากสลับกันบ้าง แต่มารดาของมาลัยไม่ชอบให้เธออวดตัวว่ามีความสามารถ จึงคอยหาทางปรามอยู่เสมอ เพราะหลายครั้งมาลัยก็ชอบแสดงตนข่มเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ทำให้มารดาไม่พอใจเพราะกลัวจะมีภัยมาถึงตัว มารดาของเธอค่อนข้างเคร่งครัดในกฎระเบียบ มาลัยเติบโตมาได้ด้วยการเลี้ยงดูของมารดาผู้ซึ่งเป็นหม้าย เนื่องจากบิดาของเธอเสียชีวิตในสงครามปราบฮ่อ
เมื่อยามเล็ก มาลัยไม่สามารถไปห้องเครื่องได้อย่างใจหวัง เพราะมารดาเกรงว่าจะไปป่วน มาลัยจึงเริ่มจดบันทึกสูตรอาหารแทนอย่างไม่รู้ผิดรู้ถูก เพื่อรอคอยที่สักวัน เธอจะได้เข้าไปทำหน้าที่ในห้องเครื่องอย่างเต็มตัวในฐานะหัวหน้าห้องต้นเครื่องถึงแม้ว่าเธอจะต้องเอาชนะเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับก็ตาม
ด้วยความที่มาลัยเป็นคนขยันหมั่นเพียนจึงทำให้มาลัยมีผลการเรียนดีที่สุดในหมู่เพื่อนทั้งวิชาการและงานฝีมือ แต่หากพูดถึงเรื่องการทำอาหาร ทุกคนจะต้องเอ่ยตรงกันว่า อาหารรสชาติฝีมือหม่อมราชวงศ์สดับนั้นเยี่ยมที่สุด เพราะท่านเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ ใครก็เก่งสู้ท่านไม่ได้ มาลัยเองหากมีบุญก็คงได้ลิ้มลองรสชาติฝีมือดูสักครั้ง ทำให้มาลัยมีความรู้สึกที่อยากจะเก่งขึ้นไปอีก ให้ทุกคนได้เห็นว่าลูกข้าหลวงอย่างเธอก็เก่งไม่แพ้ใคร
คืนหนึ่งก่อนการสอบทำอาหารจะเริ่มขึ้น มาลัยได้ข่าวว่าในการสอบครั้งนี้องค์พระวิมาดาเธอจะพิจารณาเลือกผู้มาเป็นผู้ช่วยหัวหน้าห้องต้นเครื่อง มาลัยแอบเข้าไปในห้องต้นเครื่องเพื่อจะขโมยเครื่องปรุงมาวางแผนทำรสชาติของตนให้เลิศรสกว่าเพื่อนคนอื่น โดยลองผสมเครื่องปรุงเพื่อทำน้ำพริกดู แต่ทว่าเกิดพลาดจนไฟลุกไปทั้งห้องเครื่อง
จนกระทั่งหม่อมราชวงศ์สดับได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาลัยจึงได้เข้ามามีส่วนร่วมที่ทำให้เจ้าจอมสดับได้รับตำแหน่งห้องพระเครื่องต้นราชสำนัก
๒.ชดช้อย (มารดาของมาลัย)
ชดช้อย อายุ ๓๕ ปี ถวายตัวเป็นข้าหลวงในวังตั้งแต่ยังรุ่นสาว แต่แล้วเมื่อได้แต่งงานออกเรือนไปก็เริ่มอาชีพแม่ค้า ซึ่งร้านอาหารค่อนข้างมีชื่อเสียงเพราะเป็นสูตรชาววัง โชคร้ายนักที่สามีเสียชีวิตในสงครามปราบฮ่อ อีกทั้งแม่ครัวที่ร้านก็ขโมยสูตรอาหารไป ชดช้อยในเวลานั้นท้องแก่เต็มที ต้องบากหน้ากลับมาที่ตำหนักพระวิมาดาเธอ และด้วยพระกรุณาของพระองค์ จึงทำให้ชดช้อยได้กลับมารับตำแหน่งต้นเครื่องในตำหนัก
ชดช้อยผ่านความยากลำบากมามากตอนอยู่นอกวัง รู้ถึงความโหดร้ายของสังคม จึงเป็นห่วงมาลัยจนเกินเหตุ ไม่อยากให้ลูกต้องมารับเคราะห์กรรมลำบากแบบตน ชดช้อยคิดเสมอว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ตนเองจะปฏิบัติเป็นข้าหลวงจงรักภักดีต่อเจ้านายตลอดชีวิต ไม่ลาออกมามีชีวิตตกระกำลำบาก แต่ทว่าด้วยความรักในตัวบุตรสาวมีมากกว่า ชดช้อยจึงอบรมเลี้ยงดูมาลัยให้อยู่ในกรอบ ยิ่งมาลัยพยายามอวดว่าตนเองมีฝีมือด้านการทำอาหารเท่าไหร่ ชดช้อยก็จะกดมาลัยไว้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ผู้อื่นหลอกใช้ประโยชน์จากความสามารถของมาลัย
แต่แล้วเหตุการณ์ร้ายแรงก็มาถึง เมื่อมาลัยทำไฟไหม้ห้องเครื่อง เธอคิดว่าชีวิตของลูกจะต้องอยู่ในอันตรายจึงตั้งใจจะออกรับผิดแทน แต่เพราะเจ้าจอมสดับเห็นใจทั้งสองจึงวางแผนให้คนทั้งคู่หลบหนีไปได้
๓.ใบบัว (เพื่อนสนิทของมาลัย)
ใบบัวถวายตัวเป็นข้าหลวงในตำหนักพระวิมาดาเธอก่อนมาลัย ๑ ปี จึงเป็นหัวโจกคอยนำมาลัยไปเล่นซนตั้งแต่ยังทั้งคู่ยังเล็ก ใบบัวเป็นสาวก๋ากั่น พูดจาเอะอะ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน จะกลัวก็แต่เจ้านายเท่านั้น
ใบบัวไม่เก่งด้านงานฝีมือหรือด้านคหกรรมเท่าไหร่นัก แต่ก็มักจะช่วยเป็นลูกมือเวลามาลัยทำอาหารอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ใบบัวยังเป็นผู้คอยสนับสนุนและช่วยเหลือมาลัยเมื่อมีปัญหา ทั้งในด้านความรักและด้านชีวิต
๔.มานพ (ชายหนุ่มที่หลงรักมาลัย)
มานพ ชายหนุ่มพ่อค้า เชื้อสายจีน ตกหลุมรักมาลัยตั้งแต่แรกพบ ทั้งคู่ได้พบกันในตอนที่มาลัยแอบหนีออกมานอกวัง และมีเรื่องให้มาลัยต้องผิดใจกับมานพ จนกระทั่งมานพได้แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อมาลัย มาลัยจึงเริ่มใจอ่อน แต่ชดช้อยก็คอยขัดขวาง ยิ่งมานพเป็นพ่อค้า แม้จะร่ำรวยแต่ทว่า ชดช้อยรักลูกจนเกินไปและคิดว่ามาลัยยังอ่อนต่อเรื่องนี้มากนัก ไม่ควรจะรีบตัดสินใจ
มานพได้พิสูจน์ตนเองให้ชดช้อยและมาลัยเห็นผ่านการช่วยเหลือหลายๆครั้งจนทำให้ในที่สุดชดช้อยยอมรับในตัวมานพ
๕.เจ้าจอมสดับ ลดาวัลย์
หัวหน้าห้องต้นเครื่องวังสวนสุนันทา หลานของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ อัครมเหสีองค์ที่ 8 ใน ร.5
๖.พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
อัครมเหสีองค์ที่ 8 ใน ร.5
เรื่องสั้น
มะลิ หญิงสาวม.ปลาย วัยกำลังเข้าสู่มหาลัย เธออยู่ในครอบครัวชั้นกลาง พ่อและแม่เป็นคนเข้มงวด ส่วนน้องชายเองนั้นก็ดูจะมีโลกส่วนตัวของตนเองที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับมะลิเอง มะลิจึงเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ชอบไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียว เพื่อน ๆ หลายคนพากันมองว่าเธอเป็นคนแปลก เธอใฝ่ฝันที่จะได้เดินทางออกไปเจอโลกกว้าง ได้เดินทาง และทำอะไร ๆ ด้วยตัวคนเดียวแบบหลุดจากกรอบ โดยที่ไม่มีใครมาบงการ แต่ทว่าความจริง เธอมีสิ่งพิเศษที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ ความสามารถในการทำอาหาร เธอเป็นพวกครูพักลักจำ เพราะแม่เป็นคนที่ทำอาหารเก่งมาก แต่ก็ไม่ไว้วางใจเธอให้ทำอาหาร เพราะเข็ดจากที่มะลิเคยทอดไข่เจียวสูตรที่เธอคิดค้นขึ้นมาใหม่เองให้น้องชายทาน แต่พลาดจนทำให้กระทะน้ำมันหกใส่น้องชายจนเป็นแผลที่ขาทั้งขาและเกือบกระเด็นเขาตาน้องชาย ตั้งแต่นั้นมามะลิก็วิตกกังวลเวลาทำอาหารถึงจะอยากทำสักเท่าใดแต่ก็ไม่กล้า ส่วนแม่ของเธอเองก็ไม่ให้มะลิได้จับงานครัวที่ต้องใช้ฝืนไฟอีก จะทำได้ก็แต่ช่วยแม่ล้างผักหั่นพักบ้างก็เท่านั้น
ธุรกิจที่พ่อของมะลิทำเกิดขาดทุน เนื่องจากภาวะที่ไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้กิจการค้าเฟอร์นิเจอร์ของที่บ้านย่ำแย่ ทำให้ความฝันที่เธอจะได้เงินทุนไปเรียนทำอาหารที่ใฝ่ฝันวันหนึ่งเธอแอบเห็นประกาศแข่งทำอาหารชิงเงินรางวัล 1 ล้านบาทที่สมุย เธอตัดสินใจลงแข่งขันแม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่าจะได้รับรางวัลหรือไม่ก็ตาม แต่เพราะเธออยากจะได้เงินทุนสำหรับไปเรียนทำอาหารต่อที่ประเทศฝรั่งเศส มะลิขอแม่ไปแข่งแต่ก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้คือแม่ห้ามไม่ให้แข่ง และยังว่ามะลิอย่างรุนแรงว่าให้มะลิเลิกคิดเรื่องทำอาหาร เพราะตัวของมะลิไม่มีทางที่จะทำได้ แล้วก็พูดถึงเรื่องที่มะลิทำให้น้องชายบาดเจ็บขึ้นมา ทำให้มะลิเสียใจแล้วตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ซึ่งแม่ของมะลิทำเป็นไม่สนใจแล้วตวาดใส่ว่าถ้ามะลิเก่งจริงก็ให้ออกไปได้เลย
ขณะที่มะลิเร่งเก็บของก็เจอกับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งในห้องเก็บของของบ้าน เมื่อเปิดอ่านก็เห็นว่าเป็นสูตรอาหารที่ถูกเขียนไว้เต็มไปหมด จึงพกติดตัวไปด้วยไว้อ่านระหว่างทางเผื่อว่าจะสามารถช่วยเธอเลือกเมนูอาหารที่จะทำได้
ในบันทึกเป็นเรื่องราวของมาลัย หญิงสาววัย 17 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นลูกนางสนมห้องต้นเครื่องในวังสวนสุนันทา ที่ซึ่งช่วยเหลืองาน เจ้าจอมสดับ ลดาวัลย์ มีน้าชื่อพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา เป็นถึงอัครมเหสีองค์ที่ 8 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่เกิดมาเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังสวนสุนันทามาโดยตลอด โดยอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นคนกฎระเบียบเคร่งครัด ต้องให้ปฏิบัติตามสิ่งที่อยู่ในกรอบ ความเชื่อเดิมๆ ซึ่งเธอไม่ชอบ เธอเป็นพวกหัวคิดใหม่ ชอบทำอะไรแปลก ๆ เธอชอบทำอาหารอะไรแปลกๆไปเสนอแม่ แต่แม่ก็มักจะแสดงทีท่าว่าไม่ชอบเสมอ เพราะชดช้อยแม่ของมาลัยมองว่าความทะนงในความเก่งของมาลัยเองอาจนำภัยมาสู่ตัวเธอ จึงเลือกที่จะปรามลูกไว้ตั้งแต่ต้น และแสร้งว่าไม่ชอบอาหารที่มาลัยทำ หลายครั้งมาลัยชอบออกไปนอกวังกับใบบัวเพื่อไปหาวัตถุดิบแปลกๆมาทำอาหารทำให้ได้รู้จักกับ มานพ พ่อค้าปลาเชื้อสายจีนมาหลงรักเธอ ตอนแรกเธอก็ไม่ชอบ แต่เพราะผู้ชายคนนี้รู้ว่าเธอชอบทำอาหารเป็นที่สุด จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะจีบมาลัยด้วยการนำสูตรอาหารใหม่ๆมาเสนอให้มาลัยจนมาลัยเริ่มใจอ่อนและตกหลุมรักมานพด้วย แต่ความรักนี้เป็นไปอย่างๆลับๆ โดยที่แม่ไม่ได้รู้ เธอมักจะทำอาหารรสแปลกๆ ไปให้มานพทานเสมอๆ
คืนหนึ่งก่อนการสอบทำอาหารจะเริ่มขึ้น มาลัยได้ข่าวว่าในการสอบครั้งนี้องค์พระวิมาดาเธอจะพิจารณาเลือกผู้มาเป็นหัวหน้าห้องต้นเครื่อง มาลัยแอบเข้าไปในห้องต้นเครื่องเพื่อจะขโมยเครื่องปรุงมาวางแผนทำรสชาติของตนให้เลิศรสกว่าเพื่อนคนอื่น โดยลองผสมเครื่องปรุงเพื่อทำน้ำพริกดู แต่ทว่าเกิดพลาดจนไฟลุกไปทั้งห้องเครื่อง
เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเกิดการสอบสวนเรื่องที่ห้องเครื่องไฟไหม้ เจ้าจอมสดับจำได้ว่าได้เจอกับมาลัยระหว่างทางที่มาลัยวิ่งถือเครื่องปรุงหนีมา ดูจากสภาพของมาลัยที่เนื้อตัวเปื้อนและมีรอยฟกช้ำเพราะล้มก็รู้ได้ทันทีว่ามาลัยต้องวิ่งหนีมาจากห้องเครื่องที่ไฟไหม้แน่ มาลัยเองมองก็รู้ว่าเจ้าจอมสดับทราบ และกลัวว่าเจ้าจอมสดับจะพูดความจริง แต่เจ้าจอมสดับกลับเลือกที่จะเงียบไว้
การสืบสวนดำเนินต่อไปจนเริ่มมีเงื่อนงำว่าคนทำเป็นมาลัย ชดช้อยทราบก็เตรียมแผนการไว้ว่าตนจะไปเข้าเฝ้าพระวิมาดาเพื่อขอรับโทษแทนลูก มาลัยรู้สึกกังวลใจ จึงตั้งใจว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตนเป็นที่พึงพอใจจนคนยอมยกโทษให้ เคราะห์ร้ายในช่วงที่ชุลมุนวุ่นวายในวันที่ห้องต้นเครื่องไฟไหม้มีของมีค่าในพระราชวังหายไปด้วย มาลัยจึงอาจโดนสงสัยว่าตนเองก็เป็นขโมยทำให้โทษถึงแก่ชีวิต
มะลิ เดินทางคนเดียวไปจนถึงท่าเรือจังหวัดสุราษฎร์ธานีข้ามไปยังเกาะสมุย โดยที่ระหว่างทางเธอก็ได้ชิมน้ำพริกสูตรต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีน้ำพริกไหนถูกใจเธอ จนเมื่อไปถึงที่ท่าเรือ เธอก็ข้ามเกาะโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะแข่งทำน้ำพริกอะไรดี เมื่อไปถึงเธอบังเอิญได้ชิมน้ำพริกลงเรือ ก็ถูกใจและตัดสินใจทำน้ำพริกลงเรือ ประจวบกับที่เรื่องราวในบันทึกที่เธออ่านมาถึงช่วงท้ายๆเล่มตอนที่ เจ้าจอมสดับเข้ามาในครัวซึ่งมาลัยกำลังเตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้พอดี
ในวันที่พระวิมาดาจะไปลงเรือ ท่านโปรดให้เจ้าจอมสดับทำอาหารไปถวาย เมื่อเจ้าจอมสดับเปิดประตูเข้ามาในห้องต้นเครื่องเพื่อจะเตรียมอาหารก็พบกับมาลัยที่กำลังทำน้ำพริกสำหรับไปถวายพระวิมาดาและขออภัยโทษอยู่ ทั้งสองคนได้คุยกัน มาลัยคิดว่าเจ้าจอมสดับเอาเรื่องที่ตนทำห้องต้นเครื่องไหม้ไปบอกคนอื่นทำให้ตนและแม่กำลังจะโดนจับ แต่ก็ได้รู้ความจริงว่าเจ้าจอมสดับไม่ใช่คนที่เอาไปบอก มาลัยรู้สึกผิดที่มองเจ้าจอมสดับผิดมาตลอดและขอโทษ เจ้าจอมสดับจะพามาลัยไปหาพระวิมาดาและช่วยขออภัยโทษให้เพราะเจ้าจอมสดับเข้าใจว่ามาลัยไม่ได้ตั้งใจ แต่มาลัยก็ตัดสินใจแน่วแน่และมอบน้ำพริกถ้วยที่ตนทำให้เจ้าจอมสดับเอาไปถวายแทน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจอมสดับเองก็จะถูกมองไม่ดีว่าปกป้องคนผิด เจ้าจอมสดับจะไม่รับและบอกว่าหากได้นำน้ำพริกถ้วยนี้ไปถวายจะบอกว่ามาลัยเป็นคนทำเผื่อว่าโทษหนักจะกลายเป็นเบา แต่มาลัยได้สำนึกผิดแล้วว่าสิ่งใดที่ทำไปแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ ตนจะยินดีรับผิดแม้ว่าอาจจะต้องโดนเรื่องขโมยของมีค่าในวังซึ่งตนไม่ได้เป็นคนทำก็ตาม เจ้าจอมสดับไม่เห็นด้วยเพราะเชื่อมาตลอดว่ามาลัยต้องมีอนาคตไกลถึงขั้นเป็นหัวหน้าห้องต้นเครื่องได้ จึงไม่อยากให้มาลัยมาจบชีวิตเช่นนี้ มาลัยตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรจะรับผิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็พอใจกับสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจไปแล้ว อยากให้น้ำพริกถ้วยสุดท้ายที่เธอได้ทำในชีวิตนี้เป็นคำขอโทษและช่วยเจ้าจอมสดับ น้ำพริกถ้วยนี้คือน้ำพริกที่เธอตั้งใจจะทำในวันที่ไฟไหม้ห้องเครื่องเพื่อหวังว่าจะเป็นที่พอใจจนเธอได้ตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่อง แต่ตอนนี้อยู่กับเธอถึงจะอร่อยสักเพียงใดก็คงไร้ค่า เพราะคนผิดอย่างไรก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะมองว่าดีได้ และขอร้องว่าอย่าได้เอ่ยชื่อของมาลัยเมื่อถวาย ขอให้พระวิมาดาตัดสินรสชาตินี้ด้วยความเที่ยงตรงโดยไม่รู้ว่ามาลัยทำจะดีกว่า เจ้าจอมสดับฟังแล้วก็เสียใจ จึงตัดสินใจบอกให้มาลัยพาแม่หนีออกจากวังไป แล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง เพราะรู้ว่าแท้จริงมาลัยไม่ได้ขโมยไม่ควรมารับโทษหนักเช่นนี้ มาลัยต้องมีชีวิตที่ดีได้ มาลัยสับสนเพราะต้องเลือกระหว่างอยู่ยอมรับผิดที่ใหญ่หลวงในบางส่วนที่ตนไม่ได้ก่อแล้วทำให้ชดช้อยต้องใจสลาย อีกทั้งเจ้าจอมสดับอาจจะต้องได้รับความผิดที่ช่วยมาลัยด้วย หรือเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างที่เป็นชื่อเสียงของตนไว้ที่นี่แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่สร้างชื่อเสียงและฝีมือของตนแบบหลบๆซ่อนๆตลอดไป จนท้ายที่สุดมาลัยก็เลือกที่จะออกจากวังตามคำแนะนำของเจ้าจอมสดับ
มาลัยหนีมาได้ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าจอมสดับแล้วออกมาสร้างครอบครัวของตนกับมานพ และอยู่กับชดช้อยต่อไปถึงจะลำบากแต่เธอก็มีความสุข เธอได้เรียนรู้ว่าชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่เรารักต่างหากที่สำคัญที่สุด การได้ทำสิ่งที่ตนเองรักช่วยต่อชีวิตให้กับมาลัย การทำอาหารก็เปรียบเสมือนการเดินทางของชีวิต คนเราเกิดมามีความต่างกัน หกล้มคลุกคลาน ลุกขึ้นมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด สุดท้ายรสชาติจะออกมาแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของชีวิตนั้น
เจ้าจอมสดับทำน้ำพริกไปถวายเป็นที่พึงพอใจต่อพระวิมาดาเป็นอย่างมาก ทำให้พระวิมาดาถึงกับเอ่ยปากชมว่าเจ้าจอมสดับจะเป็นหัวหน้าห้องเครื่องคนต่อไป เจ้าจอมสดับยิ้มเพราะยินดีที่ความสามารถของมาลัยเป็นได้ดังที่มาลัยเคยฝันไว้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกว่ามาลัยทำเพราะไม่อยากนำภัยมาให้มาลัย และเลือกที่จะตอบว่าตนนั้นเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดรสชาติจึงอร่อยเช่นนั้น เหมือนมีเทวดาประทานให้เพราะเจ้าจอมสดับได้ไปเจอน้ำพริกถ้วยนี้กับปลาดุกฟูวางอยู่ที่ห้องต้นเครื่องเหมือนรอให้ได้ถวายพระวิมาดา ให้ความลับเรื่องของมาลัยนี้กลายเป็นความลับต่อไป
วันแข่งขัน มีผู้แข่งขันจากทั่วประเทศมาแข่งขันมากมาย เธอตั้งสติ สมาธินึกถึงมาลัย และเริ่มทำอาหาร เมื่อทำเสร็จเงยหน้าขึ้นมา ภาพที่เธอเห็นตรงหน้าเป็นครอบครัวเธอ ประกอบด้วย พ่อ แม่ และน้องชายที่มาเชียร์ ผลการแข่งขัน ปรากฏว่าเธอไม่ชนะ เธอแอบถอดใจ แต่แล้วกรรมการก็ประกาศรางวัลพิเศษ popular vote เธอได้เงินรางวัล 300,000 บาท เธอรู้สึกดีใจมาก (ได้รางวัลจะเอาเงินไปเรียนต่อ หรือช่วยเหลือที่บ้าน) แล้วเธอก็ได้รับรู้ความจริงว่าแม่ พ่อ และน้องชายแอบตามและให้กำลังใจมะลิมาตลอดตั้งแต่เริ่มเดินทางด้วยความเป็นห่วง เธอกลับถึงบ้านพร้อมครอบครัวแล้วเอาสมุดไปเก็บในตู้เก่า บนตู้มีรูปของมานพกับมาลัยถ่ายด้วยกันสีซีเปียตั้งอยู่
บทประพันธ์ : ศุภกิติ์ เสกสุวรรณ (CA23)
*** หากนำไปเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงชื่อผู้ประพันธ์และแหล่งที่มา
ผลงานอื่นๆ ของ Supakit Seksuwan ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Supakit Seksuwan
ความคิดเห็น